Tuesday, December 30, 2014
Sunday, December 28, 2014
..............(สังเวคปริกิตตนปาฐะ)..........
...................(สังเวคปริกิตตนปาฐะ)..........
พระตถาคตเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลกนี้
;
เป็นผู้ไกลจากกิเลส
ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ;
และพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์
;
เป็นเครื่องสงบกิเลส, เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ;
เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม, เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ ;
พวกเราเมื่อได้ฟังธรรมนั้นแล้ว, จึงได้รู้อย่างนี้ว่า : -
แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์
;
แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์
;
แม้ความตายก็เป็นทุกข์
;
แม้ความโศกความร่ำไรรำพัน
ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ ;
ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์
;
ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์
;
มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์
;
ว่าโดยย่อ
อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์ ;
ได้แก่สิ่งเหล่านี้
คือ :-
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือรูป
;
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือเวทนา
;
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือสัญญา
;
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือสังขาร
;
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือวิญญาณ
;
เพื่อให้สาวกกำหนดรอบรู้อุปาทานขันธ์เหล่านี้เอง,
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่,
ย่อมทรงแนะนำสาวกทั้งหลาย
เช่นนี้เป็นส่วนมาก ;
อนึ่ง
คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น, ส่วนมากย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย, มีการจำแนกอย่างนี้ว่า :-
รูปไม่เที่ยง
;
เวทนาไม่เที่ยง
;
สัญญาไม่เที่ยง
;
สังขารไม่เที่ยง
;
วิญญาณไม่เที่ยง
;
รูปไม่ใช่ตัวตน
;
เวทนาไม่ใช่ตัวตน
;
สัญญาไม่ใช่ตัวตน
;
สังขารไม่ใช่ตัวตน
;
วิญญาณไม่ใช่ตัวตน
;
สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง..
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตนดังนี้.
พวกเราทั้งหลาย
เป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว ;
โดยความเกิด
;
โดยความแก่และความตาย
;
โดยความโศกความร่ำไรรำพัน
ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจทั้งหลาย ;
เป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว
;
เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว
;
ทำไฉน
การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึ่งปรากฏชัดแก่เราได้.
เราทั้งหลาย
ผู้ถึงแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ปรินิพพานนานแล้วพระองค์นั้นเป็นสรณะ ;
ถึงพระธรรมด้วย, ถึงพระภิกษุสงฆ์ด้วย ;
จักทำในใจอยู่
ปฏิบัติตามอยู่ ซึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตามสติกำลัง ;
ขอให้ความปฏิบัตินั้น
ๆ ของเราทั้งหลาย ;
จงเป็นไปเพื่อการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้
เทอญ.
..........( รตนัตตยัปปณามคาถา)............
..........(
รตนัตตยัปปณามคาถา)............
พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้บริสุทธิ์
มีพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ ;
พระองค์ใด
มีตาคือญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด ;
เป็นผู้ฆ่าเสียซึ่งบาป
และอุปกิเลสของโลก ;
ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ.
พระธรรมของพระศาสดา
สว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป ;
จำแนกประเภท
คือ มรรค ผล นิพพาน, ส่วนใด
ซึ่งเป็นตัวโลกุตตระ, และส่วนใดที่ชี้แนวแห่งโลกุตตระนั้น ;
ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้น
โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ.
พระสงฆ์เป็นนาบุญอันยิ่งใหญ่กว่านาบุญอันดีทั้งหลาย
;
เป็นผู้เห็นพระนิพพาน, ตรัสรู้ตามพระสุคตหมู่ใด ;
เป็นผู้ละกิเลสเครื่องโลเล
เป็นพระอริยเจ้ามีปัญญาดี ;
ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์หมู่นั้น
โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ.
บุญใดที่ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระรัตนตรัยอันควรบูชายิ่งโดยส่วนเดียว, ได้กระทำแล้วเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้,
ขออุปัททวะ
(ความชั่ว) ทั้งปวง จงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าเลย,
ด้วยอำนาจความสำเร็จอันเกิดจากบุญนั้น.
Saturday, December 27, 2014
........หลักปฏิบัติอานาปานสติปาฐะ...........
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ
จักหายใจเข้า ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ
จักหายใจออก ดังนี้ ;
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ
จักหายใจเข้า ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ
จักหายใจออก ดังนี้
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ
จักหายใจเข้า ดังนี้
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ
จักหายใจออก ดังนี้ ;
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ
จักหายใจเข้า ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ
จักหายใจออก ดังนี้ ;
(จบ
จตุกกะที่สี่)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,
อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว อย่างนี้แล ;
ย่อมมีผลใหญ่
มีอานิสงส์ใหญ่ ;
ด้วยประการฉะนี้แล.
........หลักปฏิบัติอานาปานสติปาฐะ...........
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต
จักหายใจเข้า ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต
จักหายใจออกดังนี้ ;
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่จักหายใจเข้า
ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่
จักหายใจออก ดังนี้ ;
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่
จักหายใจเข้า ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่
จักหายใจออก ดังนี้
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่จักหายใจเข้า
ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่
จักหายใจออกดังนี้.
(จบ
จตุกกะที่สาม)
........หลักปฏิบัติอานาปานสติปาฐะ...........
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติจักหายใจเข้า
ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ
จักหายใจออก ดังนี้ ;
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุขจักหายใจเข้า
ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข
จักหายใจออก ดังนี้ ;
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร
จักหายใจเข้า ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร
จักหายใจออก ดังนี้ ;
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่จักหายใจเข้า
ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับอยู่
จักหายใจออก ดังนี้ ;
(จบ
จตุกกะที่สอง)
หลักปฏิบัติอานาปานสติ
........หลักปฏิบัติอานาปานสติปาฐะ...........
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,
อานาปานสติอันบุคคลเจริญ
ทำให้มากแล้ว.
ย่อมมีผลใหญ่
มีอานิสงส์ใหญ่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,
อานาปานสติอันบุคคลเจริญ
ทำให้มากแล้ว.
ย่อมทำสติปัฏฐานทั้งสี่
ให้บริบูรณ์.
สติปัฏฐานทั้งสี่
อันบุคคลเจริญให้มากแล้ว.
ย่อมทำโพชฌงค์ทั้งเจ็ดให้บริบูรณ์.
โพชฌงค์ทั้งเจ็ด
อันบุคคลเจริญทำให้มากแล้ว.
ย่อมทำวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย,
ก็อานาปานสติอันบุคคลเจริญ
ทำให้มากแล้วอย่างไรเล่า,
จึงมีผลใหญ่
มีอานิสงส์ใหญ่ ?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้.
ไปแล้วสู่ป่า
ก็ตาม,
ไปแล้วสู่โคนต้นไม้
ก็ตาม
ไปแล้วสู่โคนต้นไม้
ก็ตาม ;
นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบแล้ว
;
ตั้งกายตรง
ดำรงสติมั่น ;
ภิกษุนั้น
เป็นผู้มีสติอยู่นั่นเทียว หายใจเข้า ;
มีสติอยู่
หายใจออก ;
ภิกษุนั้น
เมื่อหายใจเข้ายาว
ก็รู้สึกตัวทั่วถึง
ว่าเราหายใจเข้ายาว ดังนี้ ;
เมื่อหายใจออกยาว
ก็รู้สึกตัวทั่วถึง
ว่าเราหายใจออกยาว ดังนี้ ;
ภิกษุนั้น
เมื่อหายใจเข้าสั้น
ก็รู้สึกตัวทั่วถึง
ว่าเราหายใจเข้าสั้น ดังนี้ ;
เมื่อหายใจออกสั้น
ก็รู้สึกตัวทั่วถึง ว่าเราหายใจออกสั้น ดังนี้ ;
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง
จักหายใจเข้า ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง
จักหายใจออก ดังนี้ ;
ภิกษุนั้น
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่จักหายใจเข้า
ดังนี้ ;
ย่อมทำในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับอยู่
จักหายใจออก ดังนี้
(จบ
จตุกกะที่หนึ่ง)
..................( สังฆาภิถุติ)...................
..................(
สังฆาภิถุติ)...................
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
หมู่ใด, ปฏิบัติดีแล้ว ;
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด, ปฏิบัติตรงแล้ว ;
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด,
ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว
;
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด, ปฏิบัติสมควรแล้ว ;
ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ
:
คู่แห่งบุรุษ
๔ คู่, นับเรียงตัวบุรุษ ได้ ๘ บุรุษ ;
นั่นแหละ
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ;
เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา
;
เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ
;
เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน
;
เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี
;
เป็นเนื้อนาบุญของโลก, ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ;
ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง
เฉพาะพระสงฆ์หมู่นั้น ;
ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์หมู่นั้น
ด้วยเศียรเกล้า ;
(กราบรำลึกพระสังฆคุณ)
............( ธัมมาภิถุติ)..............
............(
ธัมมาภิถุติ)..............
พระธรรมนั้นใด, เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ;
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ
พึงเห็นได้ด้วยตนเอง ;
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้
และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล ;
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า
ท่านจงมาดูเถิด ;
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
;
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน
;
ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง
เฉพาะพระธรรมนั้น ;
ข้าพเจ้านอบน้อมพระธรรมนั้น
ด้วยเศียรเกล้า ;
................พุทธาภิถุติ.................
...............(พุทธาภิถุติ)..............
พระตถาคตเจ้านั้น
พระองค์ใด ;
เป็นผู้ไกลจากกิเลส
;
เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
;
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
;
เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
;
เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
;
เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้
อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า ;
เป็นครูผู้สอนของเทวคาและมนุษย์ทั้งหลาย
;
เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วยธรรม
;
เป็นผู้มีความจำเริญ
จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ;
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด,ได้ทรงทำความดับทุกข์ให้เเจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองแล้ว,
ทรงสอนโลกนี้พร้อมทั้งเทวดา, มารพรหม, และหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์,
พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ;
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด, ทรงแสดงธรรมแล้ว ;
ไพเราะในเบื้องต้น,
ไพเราะในท่ามกลาง,
ไพเราะในที่สุด,
ทรงประกาศพรหมจรรย์
คือแบบแห่งการปฏิบัติอันประเสริฐ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง,
พร้อมทั้งอรรถะ (คำอธิบาย)
พร้อมทั้งพยัญชนะ (หัวข้อ) ;
ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง
เฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ข้าพเจ้านอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ด้วยเศียรเกล้า
...............คำบูชาพระรัตนตรัย...............
..........คำบูชาพระรัตนตรัย...........
พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต์
ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ;
ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสไว้ดีแล้ว ;
ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม.
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, ปฏิบัติดีแล้ว ;
ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์.
..............ปุพพภาคนมการ..................
............(ปุพพภาคนมการ).........
-
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้นซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
Subscribe to:
Posts (Atom)