Sunday, December 28, 2014

..............(สังเวคปริกิตตนปาฐะ)..........


...................(สังเวคปริกิตตนปาฐะ)..........
พระตถาคตเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ ;
เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ;
และพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์ ;
เป็นเครื่องสงบกิเลส, เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ;
เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม, เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ ;
พวกเราเมื่อได้ฟังธรรมนั้นแล้ว, จึงได้รู้อย่างนี้ว่า : -
แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ ;
แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ ;
แม้ความตายก็เป็นทุกข์ ;
แม้ความโศกความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ ;
ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ;
ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ;
มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์ ;
ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์ ;
ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ :-
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือรูป ;
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือเวทนา ;
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือสัญญา ;
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือสังขาร ;
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือวิญญาณ ;
เพื่อให้สาวกกำหนดรอบรู้อุปาทานขันธ์เหล่านี้เอง,
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่,
ย่อมทรงแนะนำสาวกทั้งหลาย เช่นนี้เป็นส่วนมาก ;
อนึ่ง คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น, ส่วนมากย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย, มีการจำแนกอย่างนี้ว่า :-
รูปไม่เที่ยง ;
เวทนาไม่เที่ยง ;
สัญญาไม่เที่ยง ;
สังขารไม่เที่ยง ;
วิญญาณไม่เที่ยง ;
รูปไม่ใช่ตัวตน ;
เวทนาไม่ใช่ตัวตน ;
สัญญาไม่ใช่ตัวตน ;
สังขารไม่ใช่ตัวตน ;
วิญญาณไม่ใช่ตัวตน ;
สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง..
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตนดังนี้.
พวกเราทั้งหลาย เป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว ;
โดยความเกิด ;
โดยความแก่และความตาย ;
โดยความโศกความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจทั้งหลาย ;
เป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว ;
เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ;
ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึ่งปรากฏชัดแก่เราได้.
เราทั้งหลาย ผู้ถึงแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ปรินิพพานนานแล้วพระองค์นั้นเป็นสรณะ ;
ถึงพระธรรมด้วย, ถึงพระภิกษุสงฆ์ด้วย ;
จักทำในใจอยู่ ปฏิบัติตามอยู่ ซึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตามสติกำลัง ;
ขอให้ความปฏิบัตินั้น ๆ ของเราทั้งหลาย ;

จงเป็นไปเพื่อการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ เทอญ.

..........( รตนัตตยัปปณามคาถา)............


..........( รตนัตตยัปปณามคาถา)............
พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ มีพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ ;
พระองค์ใด มีตาคือญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด ;
เป็นผู้ฆ่าเสียซึ่งบาป และอุปกิเลสของโลก ;
ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ.
พระธรรมของพระศาสดา สว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป ;
จำแนกประเภท คือ มรรค ผล นิพพาน, ส่วนใด
ซึ่งเป็นตัวโลกุตตระ, และส่วนใดที่ชี้แนวแห่งโลกุตตระนั้น ;
ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ.
พระสงฆ์เป็นนาบุญอันยิ่งใหญ่กว่านาบุญอันดีทั้งหลาย ;
เป็นผู้เห็นพระนิพพาน, ตรัสรู้ตามพระสุคตหมู่ใด ;
เป็นผู้ละกิเลสเครื่องโลเล เป็นพระอริยเจ้ามีปัญญาดี ;
ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์หมู่นั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ.
บุญใดที่ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระรัตนตรัยอันควรบูชายิ่งโดยส่วนเดียว, ได้กระทำแล้วเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้,
ขออุปัททวะ (ความชั่ว) ทั้งปวง จงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าเลย,

ด้วยอำนาจความสำเร็จอันเกิดจากบุญนั้น.