Friday, April 24, 2015

ลำดับความรุนแรงแห่งการให้ผลของกรรมชั่ว

พระพุทธเจ้าตรัสถึงกรรมหนัก 
            ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ไปเกิดในอบายไว้ โดยทรงลำดับความรุนแรงแห่งการให้ผลไว้ดังนี้ คือ 

              ๑.นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม เป็นกรรมที่รุนแรงที่สุด และให้ผลก่อนกรรมอื่นๆ ทั้งหมด
 ๒.อนันตริยกรรม ๕ ประการ โดยความรุนแรง รองจาก นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม โดยทรงตรัสว่า ในอนันตริยกรรม ๕ อย่างนี้ เริ่มต้นแต่ สังฆเภทกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่หนักที่สุด ,รองมาคือ ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ,รองมาคือ ฆ่าพระอรหันต์, รองมาคือ ฆ่ามารดา และสุดท้ายคือ ฆ่าบิดา 
                    ๓.อัตตวินิบาตกรรม ได้แก่ การฆ่าตัวตาย ซึ่งมีผลรุนแรงมาก รองจาก อนันตริยกรรม 


กรรมชั่วหรือกรรมไม่ดีหรืออกุศลกรรม 

หรือการกระทำที่เป็นอกุศลที่จะทำให้ได้รับผลกรรมนั้น 

(ที่เรียกว่า เสวยผลของกรรม) ทันทีที่ตาย โดยไม่มีกรรมอื่นๆ มาแทรกได้เลย 

เรียกว่า มิจฉัตตนิยตธรรม 
มิจฉัตตนิยตธรรม 
คือสิ่งที่เป็นสิ่งไม่ดี การกระทำหรือความคิดที่ไม่ดี เป็นความชั่ว 
และจะทำให้ผู้กระทำได้รับผลหรือต้องเสวยผลของกรรมนั้นทันที 
ที่ทีตายลง (คือ ไปอบาย) โดยไม่มีกรรมไม่ว่าชั่วหรือดีแค่ไหนก็ตาม 
อย่างอื่น มาคั่นกลางหรือแทรกระหว่างได้เลย 

มิจฉัตตนิยตธรรม มี ๒ อย่างคือ 

(๑) นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม 

(๒) ปัญจานันตริยกรรม 
- นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม - 
นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม มี ๓ อย่างคือ 

(ก)นัตถิกทิฏฐิ 
คือ การมีความเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายที่จะได้รับความดีความชั่ว 
ที่จะได้มีความสุขหรือความทุกข์ ฯลฯ ในภพข้างหน้านั้น 
ไม่ได้เป็นผลสืบเนื่องไปจากการกระทำอันเป็นบุญหรือเป็นบาป 
ของตนเองที่ตนทำไว้ในชีวิตปัจจุบัน 

(ข)อเหตุกทิฏฐิ 
คือ การมีความเห็นว่าความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ ฯลฯ 
ที่สัตว์ทั้งหลายได้รับอยู่ในชีวิตปัจจุบันนี้ ไม่ได้เป็นผลสืบเนื่อง 
มาจากการกระทำอันเป็นบุญหรือเป็นบาปของตนเอง 
ในภพก่อน 

(ค)อกริยทิฏฐิ 
คือ มีความเห็นว่าการกระทำของสัตว์ทั้งหลาย 
ถึงแม้ว่าจะทำดีก็ไม่ชื่อว่าเป็นบุญ ถึงแม้กระทำชั่วก็ไม่ชื่อว่าเป็นบาป 
แต่เชื่อว่าการกระทำไม่ว่าดีหรือไม่ดีก็แค่เป็นไปตามธรรมดา 
ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป 


-ปัญจานันตริยกรรม - 


ปัญจานันตริยกรรม มี ๕ คือ 



มาตุฆาต - ฆ่ามารดา 

ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา 
อรหันตฆาต - ฆ่าพระอรหันต์ 
โลหิตุปบาท - ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต 
สังฆเภท - ยุให้พระสงฆ์แตกหมู่แตกคณะกัน 

อันนี้ ท่านอธิบายว่า อกุศลกรรมทั้ง ๘ ประเภทนี้ 
(นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม ๓ และปัญจานันตริยกรรม ๕
ถ้าหากใครกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งในนี้แล้ว 

เมื่อสิ้นชีวิตก็จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นทันที ถึงแม้ว่าก่อนตายจะสร้าง 

บุญใหญ่บุญดีเลิศขนาดไหน บุญทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่อาจช่วยให้พ้น 
ไปจากการต้องรับผลกรรมชั่วเหล่านี้ทันทีที่ตายลงได้เลย 

ถ้าหากใครได้กระทำกรรมไว้ทั้งสองอย่าง คือทั้งปัญจานันตริยกรรมข้อใด 
ข้อหนึ่งกับนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมข้อใดข้อหนึ่ง ในชีวิตนั้นแล้ว 
กรรมจากนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมจะเป็นกรรมที่ส่งให้ได้รับผลทันทีที่ตาย 

นี่ก็แสดงว่า กรรมจากความเห็นผิดทั้ง ๓ ประการ อันเห็นผิดถาวร เห็นผิด 
อย่างมั่นคง ปักใจอย่างแน่วแน่ ใน ๓ ประการข้างบนนี้ เป็นกรรมหนักที่สุด 
หนักยิ่งกว่าปัญจานันตริยกรรม 

ความเห็นผิด จึงน่ากลัวนัก และนอกจากนี้ เมื่อเห็นผิดแล้ว 
ก็จะทำให้คิดผิด เชื่อผิด กระทำอะไรต่ออะไรผิดๆ 
เช่น เมื่อไม่เชื่อบาปบุญก็เลยไม่ทำบุญ ไม่เชื่อบาปก็เลยทำบาปได้ 
ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรม ก็จะทำได้ทั้งดีและไม่ดี 
เพราะว่าไม่เชื่อว่าความดีจะส่งผลเป็นสิ่งทีดี 
เพราะไม่เชื่อว่าความชั่วจะส่งผลเป็นสิ่งที่ชั่ว 
ชีวิตก็จะมีแต่ตกต่ำดิ่งลึกลงไปในหุบเหวแห่งความเห็นผิด 
และการกระทำกรรมไม่ดี ยิ่งๆ ขึ้นไปได้ 
ไกลออกไปทุกทีจากกรรมดี จากเส้นทางแห่งปัญญา 
และจากการชำระจนให้มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ 
เปี่ยมไปด้วยปัญญา ไกลออกไปยิ่งๆ จากแสงสว่างทางธรรม 
ไกลออกไปจากการพ้นทุกข์ 

+ + + + + + + + + + 



ตามที่ได้เล่าไว้ว่าโดยหลักการแล้ว 
หากบุคคลใดละเมิดกรรมทั้งสองอย่าง 
คือกระทำทั้งนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม 
และปัญจานันตริยกรรม ในชีวิตนั้นๆ 
กรรมที่จะส่งผลก่อนเพราะถือเป็นกรรมหนักกว่า 
ก็คือกรรมจากนิยตมิจฉาทิฏฐิ 

สิ่งที่จะมาขอเพิ่มเติมให้ครบถ้วนก็คือ 
ในกรณีนี้ เมื่อนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมให้ผลไปก่อนแล้ว 
แต่กรรมที่กระทำอนันตริยกรรม (คือ กระทำ 
ปัญจานันตริยกรรมข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ) 
ก็ยังคงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้กลายเป็นอโหสิกรรมไป 
แต่อย่างใด 

ตรงกันข้าม อนันตริยกรรมที่ได้กระทำไปนั้นๆ 
จะรอส่งผลต่อๆ ไปเรื่อยๆ ขณะใดก็ตามที่มีโอกาส