Friday, November 1, 2013

ถาม-ตอบ ....แนวการปฏิบัติธรรม

     

๑๒. ปุจฉา -  ถ้าอย่างนั้นสุขและทุกข์ล้วนไม่เอา  ไม่เฉยๆเป็นท่อนไม้เป็นหุ่นยนต์หรือแข็งทื่อไปหรือ  หลีกเลี่ยงเสียทุกอย่าง  เอาแต่สุข ไม่เอาทุกข์ไม่ได้หรือ?
         วิสัชนา - ไม่ใช่อย่างนั้น   ไม่ใช่อย่างนั้น   แต่หมายความว่าทั้งสุขและทุกข์และยังรวมถึงอทุกขมสุข  ก็ยังคงมี คงเป็นเช่นนั้นตามธรรมของเขา  แต่ต่างล้วนไม่ติดเพลินหรือยึดมั่น  ดังเช่น  อาหารอันอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตามที  เป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติของอาหารนั้นๆอันพร้อมด้วยสัญญาความจำได้นั่นเอง   อร่อยก็กินและรู้ถึงความเอร็ดอร่อยนั้นเป็นธรรมดาแต่ไม่ติดเพลิน(นันทิ)ด้วยสติและปัญญา   ส่วนที่ไม่อร่อยก็กินและย่อมรับรู้รสถึงความไม่อร่อยเหล่านั้นเป็นธรรมดา แต่ไม่ผลักไสปรุงแต่งหงุดหงิดด้วยติดเพลินคำนึงถึงรสชาดความเอร็ดอร่อย    จึงเป็นไปดังเช่นเดียวกับฌาน,สมาธิที่เป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะเจ้าที่ไม่ยังโทษใดๆเป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่อันเป็นสุขยิ่งเมื่อต้องการใช้ เพราะไม่ได้เกิดแต่การติดเพลิน  ทั้งๆที่ท่านมีอยู่เป็นธรรมดาจากการปฏิบัติ   ส่วนปุถุชนนั้นเมื่อมีฌานสมาธิเกิดขึ้นก็ไปติดเพลินหรือเพลิดเพลินในรูปแบบต่างๆนาๆอันสลับซับซ้อนด้วยอวิชชา  จนก่อทุกข์โทษภัยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวว่าเกิดแต่นันทิ
          ย่อมเป็นที่ใฝ่ฝันของปุถุชนทุกคนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้เขียนเองแต่อดีต  อยากมีแต่สุข ไม่เอาทุกข์  จึงเกิดการพยายามยึดสุข และผลักไสทุกข์  คิดว่าดีที่สุดและถูกต้องเนื่องแต่อวิชชาจึงไม่รู้  เพราะดูเผินๆแล้วก็น่าจะเป็นได้  แต่ตามความเป็นจริงแล้ว สุขทางโลกหรือโลกิยสุขนั้น ไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ จึงเป็นทุกข์ในที่สุด เป็นอนัตตาที่ไม่มีแก่นแกนแท้จริง  ดังนั้นเมื่อสั่งสมหรือยึดในสุขโดยไม่รู้ตัว  จิตก็ย่อมสั่งสมความต้องการความอยากหรือเพิ่มความแก่กล้าของกิเลสขึ้นเรื่อยๆ ตามกระบวนจิตที่ได้สั่งสมปรุงแต่งแก่กล้าขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว จนย่อมเกิดสภาวะไม่สมหวังอันเป็นทุกข์ขึ้นในที่สุด  เพราะสุขทางโลกที่เกิดขึ้นเหล่านั้น จะล้วนเก็บจำเป็นอาสวะกิเลสในรูปปริเทวะ กล่าวคือ โดยอาการพิรี้พิไร อาลัย รำลึก คิดถึงจนกำเริบเสิบสานขึ้นเป็นอุปาทานทุกข์นั่นเอง

No comments:

Post a Comment