๑๒. ปุจฉา - ถ้าอย่างนั้นสุขและทุกข์ล้วนไม่เอา ไม่เฉยๆเป็นท่อนไม้เป็นหุ่นยนต์หรือแข็งทื่อไปหรือ หลีกเลี่ยงเสียทุกอย่าง เอาแต่สุข ไม่เอาทุกข์ไม่ได้หรือ?
วิสัชนา - ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายความว่าทั้งสุขและทุกข์และยังรวมถึงอทุกขมสุข ก็ยังคงมี คงเป็นเช่นนั้นตามธรรมของเขา แต่ต่างล้วนไม่ติดเพลินหรือยึดมั่น ดังเช่น อาหารอันอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตามที เป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติของอาหารนั้นๆอันพร้อมด้วยสัญญาความจำได้นั่นเอง อร่อยก็กินและรู้ถึงความเอร็ดอร่อยนั้นเป็นธรรมดาแต่ไม่ติดเพลิน(นันทิ)ด้วยสติและปัญญา ส่วนที่ไม่อร่อยก็กินและย่อมรับรู้รสถึงความไม่อร่อยเหล่านั้นเป็นธรรมดา แต่ไม่ผลักไสปรุงแต่งหงุดหงิดด้วยติดเพลินคำนึงถึงรสชาดความเอร็ดอร่อย จึงเป็นไปดังเช่นเดียวกับฌาน,สมาธิที่เป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะเจ้าที่ไม่ยังโทษใดๆเป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่อันเป็นสุขยิ่งเมื่อต้องการใช้ เพราะไม่ได้เกิดแต่การติดเพลิน ทั้งๆที่ท่านมีอยู่เป็นธรรมดาจากการปฏิบัติ ส่วนปุถุชนนั้นเมื่อมีฌานสมาธิเกิดขึ้นก็ไปติดเพลินหรือเพลิดเพลินในรูปแบบต่างๆนาๆอันสลับซับซ้อนด้วยอวิชชา จนก่อทุกข์โทษภัยขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวว่าเกิดแต่นันทิ
ย่อมเป็นที่ใฝ่ฝันของปุถุชนทุกคนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้เขียนเองแต่อดีต อยากมีแต่สุข ไม่เอาทุกข์ จึงเกิดการพยายามยึดสุข และผลักไสทุกข์ คิดว่าดีที่สุดและถูกต้องเนื่องแต่อวิชชาจึงไม่รู้ เพราะดูเผินๆแล้วก็น่าจะเป็นได้ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว สุขทางโลกหรือโลกิยสุขนั้น ไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ จึงเป็นทุกข์ในที่สุด เป็นอนัตตาที่ไม่มีแก่นแกนแท้จริง ดังนั้นเมื่อสั่งสมหรือยึดในสุขโดยไม่รู้ตัว จิตก็ย่อมสั่งสมความต้องการความอยากหรือเพิ่มความแก่กล้าของกิเลสขึ้นเรื่อยๆ ตามกระบวนจิตที่ได้สั่งสมปรุงแต่งแก่กล้าขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว จนย่อมเกิดสภาวะไม่สมหวังอันเป็นทุกข์ขึ้นในที่สุด เพราะสุขทางโลกที่เกิดขึ้นเหล่านั้น จะล้วนเก็บจำเป็นอาสวะกิเลสในรูปปริเทวะ กล่าวคือ โดยอาการพิรี้พิไร อาลัย รำลึก คิดถึงจนกำเริบเสิบสานขึ้นเป็นอุปาทานทุกข์นั่นเอง
No comments:
Post a Comment