๑. ความไม่รู้ใน"ทุกข์" ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ รู้ และให้ดับสนิทนั้น หมายถึงทุกข์อุปาทานหรือการเกิดอุปาทานขันธ์ ๕, และรู้เท่าทันทุกข์อุปาทานที่เกิดนั้น, ตลอดจนไม่เข้าใจเวทนา จึงไม่ยอมรับทุกขเวทนา-ความรู้สึกรับรู้ที่เกิดขึ้นชนิดไม่ถูกใจไม่สบายใจหรือไม่ชอบใจอันเป็นสภาวธรรมชาติของชีวิตอย่างหนึ่งที่ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา จึงเกิดการสับสนไม่เข้าใจ การปฏิบัติจึงไม่ถูกเป้าหมายที่ถูกต้อง อันย่อมทำให้การดับไปแห่งทุกข์ไม่สัมฤทธิ์ผล ดังเช่น ต้องปฏิบัติเพื่อดับอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นอุปาทานทุกข์อย่างแท้จริงที่สามารถดับลงไปได้ แต่ด้วยอวิชชาจึงไม่รู้ จึงกลับไปพยายามปฏิบัติในแนวทางที่จะดับทุกขเวทนาอันเป็นสภาวธรรมชาติอย่างหนึ่งของชีวิตหรือขันธ์หนึ่งของชีวิต ที่อย่างไรเสีย ก็ต้องมีอยู่
๒. ความไม่รู้ใน"สมุทัย" เหตุหรือปัจจัยให้เกิดทุกข์คือตัณหา อันมี ๓ กามตัณหา-ความอยากในกามหรือในทางโลกๆ(เช่นใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส), ภวตัณหา-ความอยากในธรรมารมณ์(สิ่งที่สัมผัสหรือรับรู้ได้ด้วยใจ), ตลอดจนวิภวตัณหา-ความไม่อยากในธรรมารมณ์,หรือความอยากในความไม่อยาก หรือความอยากดับสูญ อันล้วนเป็นเหตุปัจจัยโดยตรงให้เกิดอุปาทาน อันเป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องให้เกิดทุกข์อุปาทานขึ้นในที่สุด เมื่อไม่รู้ ไม่เข้าใจจริงๆ จึงไม่ระมัดระวังจึงสร้างตัณหาความทะยานอยาก หรือความไม่อยากแอบแฝงขึ้น จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทานขึ้น
๓. ความไม่รู้ใน "นิโรธ" ความสุขจากการหลุดพ้น ว่าเป็นเช่นใด? ไม่เคยสัมผัส หรือไม่เข้าใจสภาวะนิโรธอันว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่ล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กัน อันยังผลให้เกิดอุปาทานทุกข์อันรุ่มร้อนเผาลนขึ้น, บางทีเข้าใจผิดไปยึดความสุขสงบในฌาน หรือความว่างในอรูปฌาน ทําให้ไม่ทราบว่าดับทุกข์ได้แล้วจักเป็นสุขสงบบริสุทธิ์เยี่ยงใด? หรือดับร้อนอะไร? เยี่ยงใด? คุ้มค่าให้ปฏิบัติไหม? มีจริงหรือเปล่า? และมักเข้าใจผิด จับสภาวะผลของความสุขสงบสบายอันเกิดแต่การปฏิบัติสมาธิหรือฌาน หรือความว่างในอรูปฌานว่าเป็นสภาวะนิโรธ ฯลฯ. ทั้งหลายเหล่านี้ทําให้จริงๆแล้วยังคงมีความกังวลความสงสัยอยู่ลึกๆในจิต(วิจิกิจฉา) จึงทำให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างผิดแนวทางโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา
๔. ความไม่รู้ใน"มรรค" แนวทางปฎิบัติเพื่อการดับทุกข์ ควรปฏิบัติอย่างไร? ศึกษาแล้วยังไม่เข้าใจ ปฏิบัติไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน? วิธีใด? ของใครถูกแน่? มรรคองค์ใดแน่ๆที่ทำให้พ้นทุกข์? ต้องปฏิบัติเป็นลำดับหรือไม่? จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติอยู่เสมอๆ อันมักก่อให้เกิดการปฏิบัติแบบนอกลู่ผิดทาง อันนําผลร้ายมาสู่นักปฏิบัติเองโดยไม่รู้ตัว
๕. ความไม่รู้"อดีต" อันคือการไม่รู้ระลึกชาติ หรือภพ(ชาติ ภพ ในปฏิจจสมุปบาท)ที่เคยเกิดเคยเป็นต่างๆในอดีต ของปัจจุบันชาติ อันคือ สภาวะมนุษย์ในชาตินี้นั่นเอง หรือก็คือการย้อนระลึกขันธ์ ๕ หรืออุปาทานขันธ์ ๕ (การกระทําต่างๆในอดีตโดยการพิจารณาเป็นระบบอย่างแยบคาย)ที่เคยเกิด เคยเป็น กล่าวคือ ไม่รู้ไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในขันธ์ ๕ ที่เคยเกิดๆดับๆในอดีตว่า ก่อให้เกิดอุปาทานทุกข์ขึ้นนั้น เกิดแต่เหตุปัจจัยอะไร? มิใช่อยู่ดีๆก็เกิดขึ้นเองอย่างไร้เหตุผล การรู้อดีต หรือการระลึกชาติภพในปฏิจจสมุปบาทมีจุดประสงค์เพื่อเป็น เครื่องรู้(ความรู้) เครื่องระลึกเพื่อเตือนสติ เครื่องพิจารณาเพื่อก่อให้เกิดปัญญาญาณและนิพพิทา(ความหน่าย คลายกําหนัดในความชื่นชม ความยินดี)ในสิ่งที่ไปยึดไปอยาก อันยังผลให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ การรู้อดีตจึงมิได้มีเจตนาเพื่อการพิรี้พิไร ครํ่าครวญอาลัยในอดีต หรือมุ่งหมายทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แต่ประการใด หรือเพื่อประโยชน์ในทางโลก (พิจารณาในปฏิจจสมุปบาทจนเข้าใจเรื่องภพ ชาติ ชรา-มรณะ จนมีความเข้าใจแล้ว ลองย้อนมาพิจารณาอีกครั้ง)
๖. ความไม่รู้"อนาคต" การไม่รู้อนาคต คือไม่รู้ไม่เข้าใจในการอุบัติ(เกิด) การจุติ(ดับ)ของขันธ์ทั้ง ๕ หรือการเกิดๆดับๆของขันธ์ทั้ง ๕ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาว่าล้วนเป็นไปตามกรรม(การกระทําที่มีเจตนา)และหลักอิทัปปัจจยตาทั้งสิ้น และในอนาคตนั้น ก็จักต้องเป็นเช่นนั้น เป็นไปตามหลักเหตุผล-อิทัปปัจจยตา อันเกิดมาแต่กรรมอันคือการกระทํานั่นเอง และความทุกข์ในภายหน้าก็ล้วนเกิดๆดับๆอันเกิดแต่กรรมอันจักยังให้เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ เช่นเดิมหรือเกิดความทุกข์ขึ้นเฉกเช่นเดียวกับอดีต และด้วยความความไม่รู้อนาคต จึงประมาท ขาดการป้องกัน จึงมิได้ระมัดระวัง สำรวม หรือแก้ไข, กล่าวคือ การรู้อนาคตนั้นเพราะการเข้าใจในหลักเหตุปัจจัย(อิทัปปัจจยตา)นั่นเอง คือเมื่อเหตุเป็นเช่นนี้ ผลเยี่ยงนี้จึงต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อันเกิดขึ้นจากความเข้าใจในเหตุหรือสภาวธรรม(ธรรมชาติ)อย่างแจ่มแจ้งหรือหลักอิทัปปัจจยตา จึงย่อมรู้ผลที่จักเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ ระวังป้องกันแก้ไข หรือยังให้เกิดนิพพิทาเช่นกัน มิใช่เพื่อประโยชน์ในทางโลกๆ
๗. ความไม่รู้ใน"อดีตและอนาคต" คือ เมื่อไม่รู้อดีตและอนาคต จึงไม่สามารถหยั่งรู้ได้ถึงทุกข์ต่างๆที่จักต้องบังเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากอดีต จึงเกิดการไม่ยอมรับเมื่อวิบากกรรมเหล่านั้นมาเยือน จึงไม่เข้าใจในผลหรือเหตุปัจจัยต่างๆที่จะเกิดในอนาคตอย่างถูกต้องตามธรรมหรือตามความเป็นจริง จึงเกิดความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ ความไม่มีเครื่องเตือนสติ และเกิดความประมาทขึ้นเป็นที่สุด จึงไม่เป็นไปเพื่อนิพพิทา การรู้อดีตหรือรู้อนาคตไม่ได้เป็นไปเพื่ออิทธิฤทธิ์หรือประโยชน์ในทางโลกแต่อย่างใด แต่ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการดับทุกข์ พึงทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
๘. ความไม่รู้ใน"ปฏิจจสมุปบาท" ไม่ทราบ, ไม่รู้กระบวนการเกิดขึ้นแห่งทุกข์และกระบวนการดับไปแห่งทุกข์ เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจจึงย่อมไม่สามารถดับทุกข์ที่เหตุปัจจัยได้อย่างเข้าใจและถูกต้องตามจริง(ปรมัตถ์), อันอุปมาได้ดั่ง "ช่างยนต์ที่ไม่รู้ไม่ศึกษาเรื่องเครื่องยนต์ แล้วจักซ่อมเครื่องยนต์ให้ได้ดีและเร็วได้ฉันใด"
ดังนั้นเมื่อไม่รู้ ไม่เห็น และไม่เข้าใจในปฏิจจสมุปบาทหรือเรื่องการเกิดขึ้นของทุกข์และการดับไปของทุกข์ด้วยอวิชชา จึงไม่มีการแก้ไข หรือแก้ไขหรือปฏิบัติโดยไม่ถูกต้อง, จิตย่อมถูกครอบงําด้วยอาสวะกิเลสอันเป็นสัญญาความจําที่แฝงด้วยกิเลสที่ทําให้จิตขุ่นมัวอันนอนเนื่องอยู่ในจิต กล่าวคือ เมื่ออาสวะกิเลสผุดขึ้นมาจะเป็นด้วยผุดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ๑ หรือเจตนาขึ้นมา๑ หรือเกิดแต่การกระทบผัสสะขึ้นมา๑ ก็ตามที ก็จักเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอวิชชาโดยทันที จึงเป็นเหตุที่ไปกระตุ้น เร่งเร้า ส่งเสริมให้เกิดสังขารสิ่งปรุงแต่ง อันหมายถึงการกระทําต่างๆทั้ง ๓ ทาง อันมี มโนสังขาร(จิตสังขารหรือความคิด), วจีสังขาร(ทางวาจา), กายสังขาร(การกระทําทางกาย) ตามความเคยชินที่ได้เคยสั่งสม ได้เคยอบรม หรือได้เคยประพฤติ, ได้เคยปฏิบัติ หรือก็คือการกระทํา(กรรม)ต่างๆแต่ในอดีต จึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารอันเป็นเหตุ เช่นความคิด ความนึก ความเห็น อันล้วนแฝงกิเลส จึงเป็นเหตุก่อ ให้ดำเนินไปในกองทุกข์
สังขารในปฏิจจสมุปบาท ที่หมายถึง การกระทําต่างๆนั้น เช่น การกระทําทางใจ-ความคิดนึกต่างๆ, การกระทําทางวาจา-การพูดจาต่างๆ, การกระทําทางกาย-การกระทําต่างๆทางกาย ล้วนเป็นไปตามความเคยชินตามที่ได้สั่งสม,จดจำ,อบรมหรือประพฤติ,ปฏิบัติมาแล้วแต่อดีต ที่จะก่อให้เกิดทุกข์ หรืออาสวะกิเลสและร่วมด้วยกับอวิชชาความไม่รู้ นั่นเอง
ในที่นี้ เราจะเน้นที่จิตหรือใจอันยังให้เกิดมโนสังขารหรือการกระทําทางใจหรือจิต อันคือ ความคิดนึก
ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยหลักหรือศูนย์บัญชาการของชีวิต, และทําให้เกิดทุกข์และดับทุกข์โดยตรง
ตลอดทั้งยังเป็นต้นกําเนิดหรือเหตุปัจจัยหลักของ
กายสังขารอันยังให้เกิดกายกรรม-การกระทําทางกาย และ
วจีสังขารอันยังให้เกิดวจีกรรม-การกระทําทางวาจา
ผ่านทางสัญเจตนาหรือเจตนาอันเกิดมาแต่จิตหรือใจนั่นเอง
จึงกล่าวได้ว่าจิตเป็นประธานทั้งต่อฝ่ายกายและฝ่ายใจ เป็นไปดังพุทธพจน์นี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้ว จึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี้ครับ.........http://www.nkgen.com/patitja1.htm
No comments:
Post a Comment