http://www.nkgen.com/20.htm
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
พระสูตรว่าด้วยการยังธรรมจักรให้เป็นไปหรือดำเนินไป
พระสูตรว่าด้วยการหมุนวงล้อธรรม
ขับเคลื่อนพระศาสนา เป็นชื่อของ ปฐมเทศนา คือพระธรรมเทศนาครั้งแรก ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคียทั้ง๕ ณ
ป่าอิสิปตน มฤค ทาย วัน แขวงเมืองพาราณสี ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน
๘ คือภายหลังจากการตรัสรู้แล้ว ๒ เดือน ซึ่งก็คือวันอาสาฬหบูชาในสมัยปัจจุบันนั่นเอง
เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยมัชฌิมาปฏิปทา
คือทางสายกลาง ซึ่งเว้นที่สุดทั้ง ๒ อย่าง และว่าด้วยอริยสัจ ๔ ความจริงของอริยะ
หรือความจริงอันประเสริฐทั้ง ๔ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ อันทำให้พระองค์สามารถปฏิญาณว่า
ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ(ญาณชนิดตรัสรู้เองโดยชอบอันยอดเยี่ยม)
ท่านโกณฑัญญะ หัวหน้าคณะปัญจวัคคีย์ เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนานี้แล้ว ได้ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ) และขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระศาสนา เรียกว่าเป็น ปฐมสาวก
ท่านโกณฑัญญะ หัวหน้าคณะปัญจวัคคีย์ เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนานี้แล้ว ได้ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ) และขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระศาสนา เรียกว่าเป็น ปฐมสาวก
ปฐมเทศนา
แสดงธรรมเป็นครั้งแรกในโลก
แก่พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕
(จาก
พระไตรปิฎก ฉบับสมาคมศิษเก่ามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
[๑๓]
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า
ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง
ทำดวงตาให้เกิด
ทำญาณให้เกิด
ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน?
ปฏิปทาสายกลางนั้น
ได้แก่อริยมรรค มีองค์ ๘ นี้แหละคือ
ปัญญาอันเห็นชอบ(สัมมาทิฏฐิ) ๑,
ความดำริชอบ(สัมมาสังกัปปะ)
๑,
เจรจาชอบ(สัมมาวาจา) ๑,
กระทำชอบ(สัมมากัมมันตะ) ๑,
เลี้ยงชีวิตชอบ(สัมมาอาชีวะ) ๑,
พยายามชอบ(สัมมาวายามะ)
๑,
ระลึกชอบ(สัมมาสติ) ๑,
ตั้งจิตชอบ(สัมมาสมาธิ) ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด
ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้เพื่อนิพพาน.
[๑๔]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ
คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์
ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์
๕
เป็นทุกข์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ
คือตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน(นันทิ)
มีปกติเพลิดเพลิน(นันทิ)ในอารมณ์นั้นๆ
คือ กามตัณหา
ภวตัณหา
วิภวตัณหา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ
คือ ตัณหานั่นแลดับโดยไม่เหลือ ด้วยมรรคคือ วิราคะ
สละ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
คืออริยมรรคมีองค์
๘นี้แหละ คือ ปัญญาเห็นชอบ ๑ ............. ตั้งจิตชอบ ๑.
[๑๕]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้(คือ)ทุกขอริยสัจ.(ญาณทัสสนะที่
๑)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล
ควรกำหนดรู้.(ญาณทัสสนะที่
๒)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล
เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.(ญาณทัสสนะที่
๓)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
นี้(คือ)ทุกขสมุทัยอริยสัจ.(ญาณทัสสนะที่
๔)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล
ควรละเสีย.(ญาณทัสสนะที่
๕)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล
เราได้ละแล้ว.(ญาณทัสสนะที่
๖)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
นี้(คือ)ทุกขนิโรธอริยสัจ.(ญาณทัสสนะที่
๗)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล
ควรทำให้แจ้ง.(ญาณทัสสนะที่
๘)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล
เราทำให้แจ้งแล้ว.(ญาณทัสสนะที่
๙)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
นี้(คือ)ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.(มรรค) (ญาณทัสสนะที่
๑๐)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ(มรรค)นี้นั้นแล
ควรให้เจริญ.(ญาณทัสสนะที่
๑๑)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ(มรรค)นี้นั้นแล
เราให้เจริญแล้ว.(ญาณทัสสนะที่
๑๒) (แสดงสรุปญาณทัสสนะทั้ง
๑๒ อาการ ในบทอริยสัจ ๔)
ญาณทัสสนะ
มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒
[๑๖]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเราในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ
๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้
ยังไม่หมดจดดีแล้วเพียงใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรายังยืนยันไม่ได้ว่า
เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก
พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา ในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ
๑๒ อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงยืนยันได้ว่า
เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์.
อนึ่ง
ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด
ภพใหม่ไม่มีต่อไป.
ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่
ดวงตาเห็นธรรม
ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.
[๑๗]
ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว เหล่าภุมมเทวดาได้ บันลือเสียงว่า
นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม
พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี
อันสมณะ
พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือ ใครๆ ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.
เทวดาชั้นจาตุมหาราช
ได้ยินเสียงของพวกภุมมเทวดาแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.
เทวดาชั้นดาวดึงส์
ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.
เทวดาชั้นยามา
... เทวดาชั้นดุสิต ... เทวดาชั้นนิมมานรดี ... เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดี
...
เทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม
ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดีแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไปว่า
นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม
พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี
อันสมณะ
พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.
ชั่วขณะการครู่หนึ่งนั้น
เสียงกระฉ่อนขึ้นไปจนถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้แล.
ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้าน
ทั้งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ ได้ปรากฏแล้วในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย.
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานว่า ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ
[
"อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ" - โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ]
เพราะเหตุนั้น
คำว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้ จึงได้เป็นชื่อของท่านพระโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้.
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
จบ
No comments:
Post a Comment